วิเคราะห์สภาพคล่องธุรกิจให้เกิดความมั่นคงผ่าน 3 สัดส่วนทางการเงิน

Pravit Akarapanont

กลยุทธ์การประเมินสภาพคล่องธุรกิจครอบครัว

“การเข้าใจสัดส่วนทางการเงิน 2 ประเภทนี้ (Quick Ratio & Cash Conversion Ratio) จะช่วยให้ธุรกิจครอบครัวสามารถวางแผนการเติบโตและตัดสินใจได้อย่างแม่นยำขึ้น เพราะสัดส่วนทางการเงินเปรียบเหมือนการตรวจสุขภาพประจำปีของธุรกิจ ซึ่งงบการเงินของธุรกิจคือหัวใจของการวางกลยุทธ์ในโลกที่มีการแข่งขันสูงและสภาพเศรษฐกิจที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา”

ประวิทย์ อัครภานนท์ - Family Business Consultant (Intern)

ในทุกธุรกิจ การบริหารกระแสเงินสดคือกุญแจสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการมีรากฐานที่มั่นคงและพร้อมปรับตัวให้เข้ากับทุกสถานการณ์ไม่ว่าจะเป็นการวางกลยุทธ์ของธุรกิจในเชิงรุกหรือรับ การจัดการกระแสเงินสดจำเป็นต้องมีเครื่องมือไว้ช่วยตรวจสอบและควรตรวจสอบทุกช่วงของปี เหมือนดั่งเช่นรถยนต์ที่ต้องมีการเช็คระยะเมื่อขับถึงกำหนด

ในบทความจะให้ความสำคัญกับ 2 ประเภทของสัดส่วนทางการเงินที่เอาไว้ใช้ประเมินสภาพคล่องเพื่อกำหนดกลยุทธ์ของธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ ได้แก่ Liquidity Ratios ที่ประกอบไปด้วย Quick Ratio และ Cash Conversion Ratio เพื่อประเมินสภาพคล่องและระยะเวลาที่ได้รับกระแสเงินสดมาหมุนเวียนในธุรกิจ และ Retention Ratio เพื่อดูว่าธุรกิจเก็บกำไรไว้ใช้ต่อยอดหรือนำไปเป็นเงินปันผลเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ การเข้าใจสัดส่วนทางการเงิน 2 ประเภทนี้จะช่วยให้ธุรกิจครอบครัวสามารถวางแผนการเติบโตและตัดสินใจได้อย่างแม่นยำขึ้น เพราะสัดส่วนทางการเงินเปรียบเหมือนการตรวจสุขภาพประจำปีของธุรกิจ ซึ่งงบการเงินของธุรกิจคือหัวใจของการวางกลยุทธ์ในโลกที่มีการแข่งขันสูงและสภาพเศรษฐกิจที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา


ประเภทที่ 1: Liquidity Ratios: Quick Ratio และ Cash Conversion Cycle (CCC)

หลายคนอาจมองว่าสัดส่วนสภาพคล่องเป็นเพียงแค่การตรวจสอบว่าธุรกิจมีเงินสดเพียงพอสำหรับจ่ายหนี้หรือไม่ แต่ในเชิงกลยุทธ์ Liquidity Ratios ไม่เพียงสะท้อนปริมาณเงินสดในมือ แต่ยังบอกถึงโครงสร้างเงินทุนหมุนเวียน ประสิทธิภาพการจัดการซัพพลายเชน และความพร้อมในการรับมือกับโอกาสหรือภาระทางการเงินที่เกิดขึ้นกะทันหัน เช่นเดียว Quick Ratio ที่เปรียบเสมือนสัดส่วนที่บอกว่า “ถ้าวันหนึ่งเจ้าหนี้มาเคาะประตูและขอให้คุณชำระหนี้ทันที คุณพร้อมจ่ายได้หรือไม่?” โดยใช้เพียงสินทรัพย์ที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้เร็ว เช่น เงินสดในมือ เงินฝากธนาคาร และลูกหนี้การค้า ไม่รวมสินค้าคงคลังที่อาจต้องใช้เวลาหรืออาจจะยอมขายขาดทุนเพื่อให้ได้เงินสดเร็วที่สุด

หากมีการตรวจสอบว่าค่า Quick Ratio ต่ำกว่ามาตรฐานอุตสาหกรรม นั่นหมายความว่าธุรกิจอาจมีปัญหาสภาพคล่องที่ต้องรีบแก้ไข ไม่เช่นนั้นทั้งความน่าเชื่อถือและความสามารถในการดำเนินธุรกิจจะมีปัญหา แต่อย่างไรก็ตามใช่ว่า Quick Ratio จะเหมาะสมกับทุกธุรกิจเสมอไปก็  ยิ่งโดยเฉพาะในธุรกิจที่มีโครงสร้างสินทรัพย์เฉพาะ เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้นควรใช้ควบคู่กับตัวชี้วัดสภาพคล่องของธุรกิจอื่นๆ เช่น Cash Conversion Cycle (CCC) เพื่อให้เห็นภาพสภาพ
คล่องของธุรกิจครบถ้วนยิ่งขึ้น

หน้าที่ของสัดส่วนทางการเงิน Cash Conversion Cycle (CCC) คือใช้ตรวจสอบธุรกิจครอบครัวว่ามีความสามารถในการจัดการเงินสดหมุนเวียนได้ดีแค่ไหน ถ้ามีจำนวนวันน้อยแค่ไหนยิ่งดีต่อธุรกิจมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งจะวัดจำนวนวันที่ธุรกิจใช้ตั้งแต่ซื้อวัตถุดิบหรือสินค้ามา/แปรรูปหรือเก็บไว้ในคลัง/ขายให้ลูกค้า/เก็บเงินสดกลับมาได้จริง (DIO + DSO) โดยหักช่วงเวลาที่เราค้างจ่ายให้กับซัพพลายเออร์ออกไป ( - DPO) โดยกลยุทธ์การลดจำนวนวันของ Cash Conversion Cycle (CCC) ประกอบไปด้วยการต่อรองเครดิตการค้ากับซัพพลายเออร์ให้ยาวขึ้น (เพิ่ม DPO) ลดปริมาณสต็อกเน้นให้มีสินค้ามาถึงทันเวลาที่ต้องใช้ (ลด DIO) หรือกระตุ้นให้ลูกค้าจ่ายเร็วขึ้น เช่น ให้ส่วนลดสำหรับการชำระด้วยเงินสดล่วงหน้า (ลด DSO)

ในทางกลับกันถ้าเกิดเหตุการณ์ที่ Cash Conversion Cycle (CCC) ยาวเกินไป เช่นประมาณ 150 วัน นั่นหมายความว่าธุรกิจต้องรอเกือบครึ่งปีเต็มก่อนที่จะได้รับเงินสดมาใช้ขยายธุรกิจ ลงทุนโครงการใหม่ หรือเป็นเงินทุนสำรองฉุกเฉิน ซึ่งในระหว่างนั้นธุรกิจได้แบกรับค่าใช้จ่ายๆในการผลิตสินค้าและบริการไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นธุรกิจจะเจอความเสี่ยงในการขาดสภาพคล่องสูงโดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจผันผวน เพราะฉะนั้นการรักษากระแสเงินสดโดยให้ Quick Ratio และ Cash Conversion Cycle (CCC) อยู่ในระดับที่เหมาะสมตามค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรมนั้นๆ คือการรักษาจังหวะการเต้นของหัวใจของธุรกิจและกระแสเงินสดของธุรกิจให้อยู่ในระดับที่สม่ำเสมอ


ประเภทที่ 2 : Retention Ratio (อัตราส่วนกำไรที่เก็บไว้เพื่อลงทุนต่อ)

สัดส่วนนี้แม้ดูแปลกตาสำหรับธุรกิจครอบครัว แต่เชื่อว่าเป็น 1 ในสัดส่วนทางการเงินที่สำคัญ เพราะ Retention Ratio หรือ อัตราส่วนกำไรที่เก็บไว้เพื่อลงทุนต่อ คือเครื่องชี้วัดว่าธุรกิจนำกำไรสุทธิกลับมาพัฒนาและขยายกิจการมากน้อยเพียงใด แทนที่จะจ่ายออกเป็นเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นทั้งหมด

Retention Ratio ทำหน้าที่เหมือนการเก็บน้ำในเขื่อนเพื่อสำรองไว้ใช้ในฤดูแล้ง ถ้าหากกักเก็บน้ำไม่เพียงพอ ธุรกิจอาจจะประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง แต่ถ้ากักเก็บน้ำมากจนเกินไปหรือปล่อยน้ำลงด้านล่างไม่เพียงพอ ก็อาจสร้างความไม่พอใจให้ผู้ถือหุ้นและทำให้สมาชิกในครอบครัวมีความมั่งคั่งที่ลดลง ในเชิงกลยุทธ์การจัดการ Retention Ratio ควรเริ่มจากการกำหนดสัดส่วนที่สมดุลระหว่างการจ่ายเงินปันผลและการเก็บกำไรไว้ลงทุนต่อ เพื่อให้การเติบโตของธุรกิจและความพึงพอใจของผู้ถือหุ้นเดินไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน ถ้าเกิดการเก็บกำไรก็ควรแผนการลงทุนที่ชัดเจน เช่น การขยายสาขา การซื้อเครื่องจักรใหม่ การลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา หรือการสร้างทรัพย์สินที่สามารถสร้างกระแสเงินสดได้ในอนาคต ทุกครั้งที่นำกำไรสะสมมาใช้ ควรมีการประเมินผลตอบแทนการลงทุน (Return On Investment) อย่างรอบคอบ เพื่อให้มีความมั่นใจว่าเงินที่ลงทุนจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ ในทางกลับกันหาก Retention Ratio ต่ำเกินไปอาจสะท้อนว่าธุรกิจกำลังตอบสนองต่อความต้องการระยะสั้นของผู้ถือหุ้นด้วยการจ่ายปันผลสูง แต่ก็ต้องแลกมากับความเสี่ยงที่จะพบปัญหาสภาพคล่องในธุรกิจและมีงบประมาณไม่เพียงพอสำหรับการลงทุนต่อยอดในอนาคต


Quick Win นำอะไรกลับไปใช้ได้?

สัดส่วนนั้นทางการเงินในกลุ่ม Liquidity Ratios ประเมินความแข็งแรงบริหารจัดการสภาพคล่องให้มีประสิทธิภาพและควรนำตัวเลขไปตีความและปรับใช้ให้เหมาะสมตามลักษณะธุรกิจและสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่เพียงการดูค่าเฉลี่ยหรือเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานทั่วไปเพียงอย่างเดียว ยกตัวอย่างของ Quick Ratio แนะนำให้มองเป็นแนวทางในการตรวจสอบความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้นเพียงเท่านั้น ซึ่งธุรกิจต่างๆควรเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม

กลยุทธ์ที่เหมาะสมคือการสร้างความเข้าใจและขอความร่วมมือกับทุกฝ่ายเพื่อให้มีการเติบโตไปด้วยกัน และสัดส่วนทางการเงินที่จะแนะนำประเภทสุดท้ายคือ Retention Ratio ที่ช่วยชี้ว่าธุรกิจควรเก็บกำไรไว้ลงทุนต่อเท่าไหร่ การเก็บไว้มากสามารถสร้างความแข็งแรงในระยะยาวและต้องมีแผนการลงทุนที่ชัดเจน ไม่เช่นนั้นธุรกิจอาจจะมีค่าเสียโอกาสในการลงทุน ซึ่งเป็นไปได้ว่าเงินอาจจมอยู่ในสินทรัพย์ที่ไม่สร้างผลตอบแทน ในขณะที่การจ่ายปันผลมากเกินไปก็อาจทำให้ธุรกิจขาดเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ เพราะฉะนั้นคำแนะนำคือการหาจุดสมดุลระหว่างจ่ายผลตอบแทนระยะสั้นของครอบครัวและการพัฒนาในธุรกิจเพื่อการเติบโตระยะยาว

บทสรุป

ทั้ง 2 สัดส่วนทางการเงินที่ประกอบไปด้วย Liquidity Ratios และ Retention Ratio กำลังทำหน้าที่เสมือนเครื่องวัดชีพจรธุรกิจครอบครัว ที่ช่วยให้ผู้บริหารมองเห็นทั้งสภาพคล่องและความพร้อมสำหรับการลงทุนต่อยอด แต่ธุรกิจครอบครัวมีความพิเศษตรงที่การตัดสินใจมักมีปัจจัยทางอารมณ์ ความสัมพันธ์ และความไว้วางใจเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การมีข้อมูลเชิงตัวเลขที่ชัดเจนจะช่วยถ่วงดุลและทำให้การตัดสินใจมีเหตุผลมากขึ้น ที่สำคัญตัวเลขเหล่านี้ยังทำหน้าที่เป็นภาษากลาง เพื่อให้การพูดคุยเรื่องการเงินของธุรกิจมีความโปร่งใสและลดความขัดแย้ง เพราะท้ายที่สุดแล้วการดูแลธุรกิจครอบครัวก็ไม่ต่างจากการดูแลครอบครัว ต้องใส่ใจทั้งปัจจุบันและอนาคตอย่างสมดุล สร้างสมดุลระหว่างความสุขของผู้ถือหุ้นวันนี้ และการสร้างรากฐานให้แข็งแรงพอสำหรับคนรุ่นต่อไป

ผู้เขียน: ประวิทย์ อัครภานนท์ | Family Business Consultant (Internship)

ผู้สนับสนุน: ธีรภาพ อัญญานุภาพ | Founding Partner & Lead Consultant

Previous
Previous

กลยุทธ์ทายาทรุ่นใหม่: ลดค่าเสียโอกาส สร้างการเติบโต

Next
Next

ธุรกิจครอบครัวประสบความสำเร็จเพราะ 4 เรื่อง Success Factor นี้ l GongsiTalk#24